เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
มันเป็นยุคเป็นคราว ถ้ามันเป็นยุคเป็นคราว เห็นไหม เราคิดถึงสมัยเราเด็กๆ ถ้าเราเด็กๆ สภาวะแวดล้อมจะดีมาก แต่โตขึ้นมา พอคนมากขึ้นสภาวะแวดล้อมมันจะเปลี่ยนแปลงไป ความเปลี่ยนแปลงไป วันเวลามันเปลี่ยนแปลงไป แล้วปัจจุบันสมัยนี้กับคนข้างหน้าต่อไป เขาเห็นสภาพแวดล้อมเขาก็จะท้อใจมากกว่านี้
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่สภาวะแวดล้อมมันเปลี่ยนไปเพราะโลกมันเปลี่ยนแปลง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าโลกนี้เป็นอจินไตย คือมันจะอยู่ของมัน เพราะพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้า อนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์นะ นี่โลกจะเปลี่ยนแปลงของมันไปอย่างนี้เป็นอนิจจัง ความเป็นอนิจจังของโลก
ชีวิตเราก็เหมือนกัน ชีวิตเราตั้งแต่เริ่มต้นของเรา เราเกิดมา เห็นไหม เราเป็นทารกเด็กน้อยพ่อแม่ก็เลี้ยงดูมาทั้งนั้นแหละ การแสวงหาของเราเราก็แสวงหา พ่อแม่ปลูกฝังไว้นะ พ่อแม่ปลูกฝังไว้ให้ นี่ศาสนาพุทธให้มีความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี รู้จักกตัญญู นี่ความดีความชั่วต่างๆ ความดีความชั่วเพื่ออะไร? เพื่อให้ชีวิตนี้ไง
นี่คนเก่งกับคนดี ถ้าคนดี นี่คนๆ นั้นจะมีความร่มเย็นเป็นสุขก่อน เพราะคนๆ นั้นอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขไง ถ้าคนๆ นั้นมีแต่ความบีบคั้นในหัวใจ มีแต่ความทุกข์ร้อนในหัวใจ คนๆ นั้นมีความทุกข์ในหัวใจ แล้วคนๆ นั้นก็พยายามแสวงหาสิ่งต่างๆ ให้เป็นปัญหากับสังคมไป
ฉะนั้น สิ่งที่จะมีคุณค่าที่สุดคือธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วธรรมมันเกิดมาจากไหนล่ะ? ธรรมมันลอยมาจากฟ้าหรือ? ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติทำให้คนขี้เกียจ เพราะธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมีอยู่แล้ว ฝนตกแดดออก ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงของมันไปตลอดธรรมชาติของมัน ธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติเกิดมาในวัฏฏะ ในวัฏฏะเราเกิดมาแล้วเราต้องแสวงหา
การแสวงหาของเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราแสวงหา ดูสิ อย่างเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านแสวงหาของท่านนะ ชีวิตของหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านเล่า ทุกคนนะถ้าเป็นผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที ระลึกถึงบุญคุณของท่านน้ำตาตกในนะ น้ำตาตกในเพราะหลวงตาท่านบอกว่า ถ้าพูดถึงความเป็นอยู่ทางโลกท่านทุกข์ที่สุดในโลก เพราะท่านอยู่ในป่าในเขามาตลอด ท่านไม่เคยมีความสุขของท่านเลย ในความเป็นอยู่ทางในโลกนะ แต่ถ้าทางธรรมท่านประเสริฐที่สุด ท่านอยู่ป่าอยู่เขาตลอดชีวิต ท่านไม่เคยได้รับความเป็นสุขทางโลกที่เราว่าเป็นความสุขอันนี้เลย
นี่ท่านทำของท่านทำไม? เป็นผู้แสวงหา เป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา เห็นไหม ธุดงควัตรมาจากไหน? ธุดงควัตรมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธุดงควัตรนะ ดูสิเวลาเลิศทางธุดงควัตร พระกัสสปะเป็นเลิศในธุดงควัตร พระปุณมันตานีบุตรเป็นเลิศในทางเทศนาว่าการ พระกัสสปะเป็นผู้เลิศในทางธุดงวัตร นี่ธุดงควัตรมันมีอยู่แล้ว แล้วธุดงควัตรเป็นแบบใด? ธุดงควัตรมันก็เป็นเรื่องส่วนตนไง ใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ใครจะถือธุดงค์มันเป็นสิทธิ
ศีลในศีล ใครทำก็ได้ ใครไม่ทำก็ได้ มันไม่ปรับอาบัติ แต่ถ้าเป็นอาบัตินะ ถ้าเป็นศีล ข้ามพ้นศีลนี่เป็นอาบัติหมด แต่ธุดงควัตรไม่ประพฤติปฏิบัติก็ได้ ประพฤติปฏิบัติก็ได้ เพราะธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส แต่หลวงปู่มั่นท่านเก็บหอมรอมริบ ท่านเก็บหอมรอมริบจนมีลูกศิษย์ลูกหา ผู้ที่เห็นดีเห็นงามกับหลวงปู่มั่น ทำตามหลวงปู่มั่นนะ อำนาจวาสนาของคนๆ หนึ่งตั้งเป็นองค์กรขึ้นมา
นี่วัดป่า วัดป่าคืออะไร? วัดป่าก็ธุดงควัตรไง วัดป่าก็ผู้ที่เต็มใจในการประพฤติปฏิบัติไง ถ้าเราอยู่ของเราตามประสา เราบวชเราอยู่ที่ไหนก็ได้ใช่ไหม? แต่ถ้าไปอยู่วัดป่า คำว่า ป่า มันคืออะไร? นี่คำว่าป่ามันถือธุดงค์ ธุดงค์มันคืออะไร? ธุดงค์มันคือข้อวัตรปฏิบัตินะ ธุดงค์ไม่ใช่ห่มผ้าสวยๆ แต่งตัวหล่อๆ แล้วก็เดินให้โยมเขาเห็น ให้โยมเขาพอใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องการแบบนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธุดงค์นี้ให้ขัดเกลากิเลสนะ เวลาอดอาหาร เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดอาหารนะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อดอาหารมา ๔๙ วันจนขนหลุดหมดเลย นี่เห็นว่าในการอดอาหาร ถ้าการอดอาหารโดยที่ไม่มีปัญญามันอดอาหารเฉยๆ อดอาหารแล้วมันมีแต่ความทุกข์ ความยาก แต่เพราะการอดอาหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพยายามแสวงหาทางออกนั้น แต่ยังแสวงหาทางออกไม่ได้เพราะยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว มันได้กำลังมาจากไหน? มันได้กำลังมาจากการอดอาหาร การต่างๆ มันได้กำลังมา แต่มันไม่มีปัญญา
ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขนาดปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดนั้น กิเลสมันยังหลอกเอาขนาดนี้ แล้วถ้าสาวก สาวกะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าไม่ปิดช่องทางนี้ไว้นะ พระนี่อดอาหารตายหมด
ฉะนั้น ห้ามอดอาหาร ถ้าใครอดอาหารเราปรับอาบัติ แต่เว้นไว้ว่าถ้าผู้ใดอยากประพฤติปฏิบัติ อยากให้เป็นอุบายวิธีการ การอดอาหารเพื่อวิธีการ วิธีการหมายถึงว่า อดนอนผ่อนอาหารเพื่อให้ขันธ์ ๕ ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันมีกำลังแก่กล้านี้เบาตัวลง เบาตัวลงนะ เวลาเราหิว เรากระหาย ความคิดที่มันจะคิดเรื่องที่มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก คิดเรื่องที่มันพอใจ มันไม่คิดหรอก มันคิดไม่ไหว เพราะมันทุกข์มัน มันหิวกระหายมัน มันต้องถอนตัวมัน มันไม่คิดเรื่องอย่างนั้น นี่เป็นอุบายไง
ถ้าผู้ใดอดอาหารเพื่อเป็นอุบายวิธีการ เราตถาคตอนุญาต แต่ผู้ใดอดอาหารเพื่ออวด เพื่ออยากให้เขาศรัทธา เพื่ออยากให้เขาชื่นชม ปรับอาบัติทุกกฏ ทุกกิริยาเคลื่อนไหว
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปรารถนา ไม่ปรารถนาให้ประพฤติปฏิบัติเพื่ออวดกัน ไม่ปรารถนาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้โฆษณาประชาสัมพันธ์กัน ไม่ปรารถนา เพราะสิ่งนี้เป็นเรื่องเปลือกๆ ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปรารถนา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการให้สาวก สาวกะ ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อชำระกิเลส เพื่อขัดเกลาในใจของตัว แล้วหลวงปู่มั่นท่านทำของท่านจนมีลูกศิษย์ลูกหาเชื่อมั่น นี่เดินตามท่านมาจนวางข้อวัตรปฏิบัติไว้
คำว่าข้อวัตรปฏิบัติ ธุดงควัตร เห็นไหม นี่พระป่า พระป่าคือพระธุดงค์ไง ธุดงค์คืออะไร? ธุดงค์คือฉันอาหาร ฉันมื้อเดียว บิณฑบาตเป็นวัตร ฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร ภาชนะเดียวเป็นวัตร นี่เป็นวัตร คำว่าเป็นวัตรทำต่อเนื่อง ทำต่อเนื่อง เพราะทำอย่างนี้มันขัดเกลากิเลส แต่ถ้ามันทำจนคุ้นชินนะ ดูสิทำสิ่งใดทำจนคุ้นชิน มันก็เคยชินทั้งนั้นแหละ
ฉะนั้น สิ่งใด ในการที่ว่าถือธุดงค์แล้วจะเป็นพระที่ดีทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ เพราะมันเป็นรูปแบบ พระที่ปฏิบัติแล้วปฏิบัติดีก็มี ปฏิบัติแล้วปฏิบัติแต่กรอบแต่เปลือกภายนอก แต่จิตใจมันเข้าไม่ถึง มันไม่รู้จริงเห็นจริง มันไม่รู้อะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษหรอก เหมือนอย่างเราเขาเตือนประจำนะ อาหารเป็นพิษๆ เราไม่รู้ว่าอาหารมันเป็นพิษหรอก เราก็พยายามจะแยกอยู่เหมือนกัน แต่เราแยกไม่ได้หรอก แต่ทางการแพทย์เขารู้นะ อะไรอาหารเป็นพิษๆ
นี่ก็เหมือนกัน ผู้ใดที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตใจมันเข้าไปถึงธรรม เห็นไหม เขาจะรู้เลยการประพฤติปฏิบัติ สิ่งใดมรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด สิ่งที่เราทำอยู่นี่มันเรื่องหยาบๆ เรื่องความดำรงชีวิต เรื่องความเป็นอยู่เท่านั้น มันยังไม่ชำระกิเลสอะไรเลย แต่มันเป็นเรื่องหยาบๆ เรื่องหยาบๆ นั่นแหละมันจะละเอียดเข้าไป ถ้าบอกเราไปติดตรงนั้นนะ พระธุดงค์ใช่ไหม? พระธุดงค์ก็ธุดงค์อย่างนั้น ถูดงไง ถูผ่านให้ดงไป ถูดงกันไป
ถ้าธุดงค์นะมีสติมีปัญญา อะไรควร อะไรไม่ควร เวลาเราธุดงค์ไปใช่ไหม นี่เราธุดงค์ไป ธุดงค์เพื่ออะไร? เพื่อความสงบวิเวกใช่ไหม? เพื่อความมักน้อยสันโดษใช่ไหม? เพื่อความหลีกเร้นใช่ไหม? เราไม่ได้ธุดงค์เพื่อให้ใครรู้จักใช่ไหม? เราไม่ได้ธุดงค์ไปเพื่อประกาศก้องให้เขารู้ว่าเราเป็นพระธุดงค์ใช่ไหม? เราไม่ได้ทำแบบนั้น เราธุดงค์ไปเพื่อขัดเกลากิเลสของเรา ถ้ามันขัดเกลากิเลส เช้าขึ้นมาบิณฑบาตจะได้หรือไม่ได้ไม่รู้ เพราะเราพึ่งมาถึง เราปักกลดอยู่ เช้าขึ้นมาเราก็ออกบิณฑบาต เวลาเราก็ไม่รู้ สรรพสิ่งเราก็ไม่รู้ มันเป็นการดัดนิสัย นิสัยความอยากได้อยากดี มันเป็นการดัดนิสัยทั้งหมด นี่ธุดงค์มันอยู่ที่นี่
แล้วหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำขึ้นมา นี่คำว่าธรรมส่วนบุคคลนั้นเป็นเรื่องหนึ่งนะ บุคคลคนใดมีความนึกคิดอย่างใด ทำอย่างใดเพื่อความดีความงามของเขาก็สาธุ บุคคลคนใดทำจนเป็นองค์กรขึ้นมา จนมีคนเห็นชอบ แล้วทำตามขึ้นมา เป็นองค์กรขึ้นมา
นี่ลูกศิษย์ลูกหาหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดบ่อย เพชรน้ำหนึ่งๆ ในการที่หลวงปู่มั่นท่านปั้นของท่านมา นี่มีมหาศาลในสังคมไทยเรา คนๆ หนึ่งจะมีอำนาจวาสนาได้ขนาดนั้นนะ มันไม่ใช่ทำกันง่ายๆ มันไม่ใช่ว่าใครจะเชื่อกันง่ายๆ หรอก นี่เราเห็นแต่เปลือกเราเชื่อไง เวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้วกาลามสูตร เวลาหลวงตาท่านพูดถึงนะ เวลาท่านขึ้นไปรายงานหลวงปู่มั่น แล้วเวลาหลวงปู่มั่น นี่สิ่งที่ท่านเห็นขึ้นมาสิ่งนี้มันเป็นสุขแค่เศษเนื้อติดฟัน
อ้าว แล้วถ้าอย่างนั้นสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหนล่ะ? สัมมาสมาธิเดินที่ไหน? แล้วเวลาออกใช้ปัญญาไปแล้ว นี่ออกทำสมาธิ ตอนนี้ใช้ปัญญาก็ปัญญาจนเต็มที่แล้วนะ ไม่ได้พัก ไม่ได้หยุดได้นอนเลย ท่านพูดว่า เราก็มีของเรา มรรคหยาบๆ ไง เวลาคนปฏิบัติขึ้นไปมันก็ไปรู้ไปเห็น มันมีอุปสรรคต่างๆ นี่เราก็รู้เราก็เห็นของเรา
ฉะนั้น เวลาขึ้นไปเห็น ไม่ได้โต้เถียงด้วยทิฐิมานะ เราก็รู้เราก็เห็น เราก็ประพฤติปฏิบัติมา มันก็มีข้อมูลของเราใช่ไหม? เราก็ต้องเสนอข้อมูล นี่ด้วยข้อโต้แย้งเพื่อหาความถูกต้องไง เราไม่ใช่มีทิฐิมานะจะเอาชนะคะคานกัน จะเอาแต่สีข้างเข้าถู ไม่ใช่อย่างนั้น
ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาที่สนทนาธรรมเพื่อเป็นมงคล เป็นมงคลอย่างนี้ไง ใครมีเหตุผลที่เหนือกว่า ใครมีเหตุผลที่ดีกว่า มันจนด้วยเหตุผล พอมันจนด้วยเหตุผล อืม มันใช่ พอมันใช่ขึ้นมา สิ่งที่เรารู้เราเห็นมันไม่ใช่ พอมันไม่ใช่มันก็ต้องทิ้งสิ ทิ้งทิฐิมานะอันนี้สิ ทิ้งความเห็นผิดอันนี้สิ ถ้าเราทิ้งทิฐิมานะอันนี้นะ นี่มรรคละเอียด เห็นไหม
แต่ถ้าเรายังติดอยู่ในมรรคหยาบๆ ของเรานะ นี่มันมาจากพระไตรปิฎกไง ก็ธุดงควัตรไง ธุดงควัตรก็บิณฑบาตเป็นวัตรก็บิณอยู่แล้วทุกวันนี้ไง เช้าขึ้นมาก็คล้องบาตรก็จะไปบิณฑบาตไง มันก็ธุดงควัตร นี่มันทำแบบเถรส่องบาตรไง ถ้าทำแบบเถรส่องบาตรมันไม่มีปัญญาไง
แต่ถ้ามันมีปัญญานะ เวลาธุดงค์มาแล้ว เห็นไหม ธุดงค์มาแล้วนี่ถือว่าถือสันโดษ ได้สิ่งใดมาก็สิทธิเสมอภาค สิทธิถูกต้องตามธรรมวินัย พอได้มาแล้วยังมักน้อยนะ สิ่งใดได้มาแล้ว ฉันเข้าไปแล้ว วันนี้ฉันแล้ว คืนนี้ปฏิบัติแล้วมันไม่ได้ผลเลย นี่มันเป็นเพราะอะไร? ทำไมนั่งสัปหงกโงกง่วงเป็นเพราะเหตุใด? อ้าว พรุ่งนี้เราบิณฑบาตมา เราฉันเฉพาะอาหารนะ ฉันเฉพาะข้าวเปล่าๆ ก็ได้ ได้อาหารสิ่งใดมาเอาไว้ข้างบาตร เราไม่แตะเลย เราแตะแต่ข้าวของเรา พอกลางคืนขึ้นไปก็ไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คืนนี้ปฏิบัติแล้วมันปลอดโปร่งไหม? มันดีขึ้นไหม?
นี่เวลากระทบสิ่งใดมา เวลาไปบิณฑบาต ครอบครัวใดเขาใส่บาตรด้วยความแช่มชื่น ครอบครัวใดเขามีความสามัคคีดีงาม เออ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่มีบุญเนาะ ไปถึงครอบครัวใด ครอบครัวใดมีปัญหาขัดแย้ง บิณฑบาตไปมันรู้มันเห็นไปหมดนะ นี่มันจะย้อนกลับมา แบบว่าบิณอาหารมาเพื่อเลี้ยงชีวิต เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แต่ผลกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เทศน์กัณฑ์หนึ่งนะ เห็นเขามีความสงบร่มเย็น อันนี้ก็เป็นบุญของเขา เห็นเขามีความขัดแย้งกัน อันนี้มันก็เป็นบาปอกุศล เขาทำมาเพราะเหตุใด นี่ปัญญามันหมุน มันมีความรู้ ความเห็น
ดูสิคนนั้นคนเจ็บคนป่วย เจ็บป่วยเพราะเหตุใด ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ คนๆ นี้ นี่มันมีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม เราไม่ใช่ซื่อบื้อเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งก็บิณฑบาตก็ธุดงค์ๆ ไง นี่มันถูไปไง ถูธุดงค์มันไม่ใช้ปัญญาไง ถ้ามันใช้ปัญญาขึ้นมามันเป็นประโยชน์นะ พอเป็นประโยชน์ขึ้นมานี่ปัญญามันเกิด พอปัญญาเกิดบิณฑบาตมาแล้วนะถือสันโดษ พอได้มาแล้วยังมักน้อยอีก มักน้อยเพื่อขัดเกลามัน พอขัดเกลามาแล้วเราประพฤติปฏิบัติก็เทียบเคียงมา เทียบเคียงปัญญามันเกิดไหม? สิ่งใดๆ ไหม? นี่ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านมา มรรคหยาบ มรรคละเอียด ละเอียดสุด มันละเอียดเป็นชั้นๆ ตอนๆ เข้าไป
ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ท่านถึงเป็นแบบอย่างไง ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วให้เราปฏิบัติตาม แล้วปฏิบัติตามไปนี่ก็ก๊อบปี้มาเลยนะ ทำเหมือนๆ เลย เหมือนแล้วได้อะไรขึ้นมา ทำเหมือนมันเหมือนแต่ข้างนอกนะ ดูสิวัตถุที่เป็นลิขสิทธิ์ของเขา เขาทำเหมือนขึ้นมา แต่เจ้าของลิขสิทธิ์เขาค้นคว้ามา เขาต้องวิเคราะห์วิจัยของเขามา เขาถึงได้สินค้าสิ่งนี้มา จิตใจของคนเกิดมามันมีกิเลสอวิชชาปกคลุมมาทั้งนั้นแหละ แล้วเราจะทำอย่างไรให้มันผ่านมา แต่ข้อวัตรปฏิบัติมันก็เริ่มต้นจากหยาบๆ
อย่างเช่นเด็ก เด็กก็ต้องฝึกให้มันเดิน เด็กให้มีสัมมาคาราวะนะ โตขึ้นมาแล้วก็ต้องมีปัญญาขึ้นมาเพื่อเลี้ยงชีพนะ พอโตขึ้นไปเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ก็ต้องรู้จักเป็นผู้นำของสังคมนะ นี่มันก็พัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป จิตมันก็ต้องพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปมันถึงจะเป็นความจริง นี่ไงเรามาแสวงหาธรรมๆ เราแสวงหาธรรมเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของเรา ทีนี้ความร่มเย็นเป็นสุขของเรามันก็เริ่มต้นจากตรงนี้ เริ่มต้นจากว่าสิ่งใดเราทำ เราอึดอัดขัดข้องไปหมด เพราะเราคุ้นชินกับฆราวาสธรรม
ฆราวาสหมายถึงว่าเราก็มีธรรมเหมือนกัน เราก็อยู่ในฆราวาส เวลาปฏิบัติขึ้นไป สิ่งที่เป็นฆราวาสเราก็ดำรงชีวิตของเราใช่ไหม? แต่ถ้าพอปฏิบัติขึ้นไป นี่จากฆราวาสถือพรหมจรรย์ จากพรหมจรรย์ เห็นไหม กายวิเวก จิตวิเวก สถานที่วิเวก นี่พอกายวิเวก จิตมันจะวิเวกไหม? พอกายมันวิเวก จิตมันก็ดิ้นรนแล้วนะ แต่ถ้าฆราวาสนะ เราอยู่บ้านอยู่เรือน โอ๋ย เรามีคุณธรรม เราเป็นคนคิดใฝ่ดี คนนู้นก็เป็นคนดี นี่มันก็เยินยอกันอยู่อย่างนั้นแหละ แต่พอมันไปอยู่ของมันคนเดียวมันไม่มีใครแล้วนะ อยู่คนเดียว
พออยู่คนเดียวนี่กายวิเวก จิตมันเริ่มคิดแล้วนะ เอ๊ะ แล้วพรุ่งนี้จะทำอย่างใด? เอ๊ะ แล้วคืนนี้เราจะกลัวผีไหม? นี่กายวิเวก จิตมันไม่วิเวก ถ้ากายมันอยู่ในคลุกคลีนะจิตมันสบายใจเลย พอกายวิเวก จิตมันดิ้นรน พอจิตดิ้นรน นี่ไงเขาธุดงค์กันเพื่อเหตุนี้ นี่ออกธุดงค์เพราะเหตุนี้ เห็นไหม
ถ้าสิ่งใดที่มันคุ้นชิน สิ่งใดที่มันได้โดยความคุ้นเคยมันนอนใจ แต่ถ้าเราไม่ได้สิ่งใดเลยเราต้องตื่นตัวตลอดเวลา เราต้องหาของเราเองทั้งนั้น ทุกอย่างเราต้องพิสูจน์ขึ้นมาด้วยตัวของเราเอง ถ้าพิสูจน์ด้วยตัวเอง เราทำของเราได้ เพราะชีวิตนี้มันเป็นอิสระ
ชีวิตนี้เหมือนนก บิณฑบาตนะ พอฉันแล้วนะ เก็บบริขารแล้วบินไปเหมือนนก บินไปเหมือนนก เวลาลง เวลาเกาะคอนนิ่มนวล เวลาไปนะมันสั่นไหวไปหมด มันติดที่ มันห่วงหาอาวรณ์ทั้งนั้นแหละ สิ่งนี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นนะ
ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำเป็นตัวอย่าง กว่าจะทำเป็นตัวอย่างต้องทำให้เห็น แล้วต้องยอมรับ เรายอมรับขึ้นมาเราถึงทำขึ้นมา นี่พระธุดงค์ พระธุดงค์หมายถึงธุดงควัตร พระธุดงค์หมายถึงการกระทำ ธุดงควัตร ๑๓ เป็นการขัดเกลากิเลส เป็นการขัดเกลา
ฉะนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาต้องแสวงหาอย่างนั้น คนป่วยคนไข้เขาอยากได้ยารักษานะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นคุณค่าของธุดงค์ ดูครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ตลอดชีวิต หลวงตาท่านบอกว่าไม่เคยเห็นหลวงปู่มั่นใช้คหบดีจีวรเลย เว้นไว้แต่เจ้าคณะจังหวัดปราจีนฯ ที่ท่านให้ไปเป็นอังสะ ๒ ตัว เพราะท่านไปให้แล้วอ้อนวอนว่าทอกับมือเอง ทอกับมือเอง ทอเอง เย็บเอง ย้อมเอง มาถวายหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเมตตาใช้ให้ ๒ ชิ้น ตั้งแต่นั้นมานะท่านเก็บบังสุกุลจีวรใช้ทั้งชีวิต หลวงปู่มั่น
ฉะนั้น พระที่ทำไม่ได้ท่านถึงเคารพไง คนที่ทำได้เหนือเรา เราถึงยอมรับใช่ไหม? หลวงปู่มั่นท่านใช้ชีวิตของท่านทำให้เห็น ทำให้ดู แล้วยังทายหัวใจด้วย หัวใจนะ หลวงปู่ขาวท่านไปกับหลวงปู่แหวน ท่านจะไปกราบหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่ขาวท่านพูดกับหลวงปู่แหวนเนาะ ท่านเป็นคู่สหายกัน ท่านบอกว่า เราจะไปกราบหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านจะรู้หรือเปล่าเนาะว่าเราจะมา นี่หลวงปู่มั่นท่านจะรู้หรือเปล่า?
พอเข้าไปกราบนะ นี่หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ขาวท่านเล่ากันเอง เวลาไปกราบนะหลวงปู่มั่นท่านบอกเลย ใจของตัวไม่รู้จักรักษา จะให้คนอื่นรักษาให้
โอ๋ย... เห็นไหม ท่านไม่ใช่ทำเป็นแบบอย่างเฉยๆ นะ ท่านยังช่วยดูแลหัวใจของเรา ช่วยดูความรู้สึกนึกคิดของเราให้ถูกต้องดีงาม ถ้าเราเจอครูบาอาจารย์ที่ดีที่ถูกต้อง เราจะได้เป็นแบบนั้น
ฉะนั้น ในวงกรรมฐาน ในเมื่อพระปฏิบัติขึ้นมาจำนวนมากขึ้น ในสังคมทุกสังคมมีทั้งคนดีและคนเลว ในการประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องมีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ฉะนั้น สิ่งที่เห็นว่าเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เป็นธุดงควัตรนั้นถูกต้องไหม? ถูกต้อง มรรคหยาบๆ แล้วมันละเอียดเข้าไปได้ไหม? ถ้ามันละเอียดเข้าไปได้มันก็จะไปขัดเกลากิเลส ถ้ามันละเอียดเข้าไปไม่ได้ มันก็เป็นรูปแบบบรรจุภัณฑ์อยู่ข้างนอกนั่นแหละ
แม้แต่ว่าธุดงควัตรสิ่งที่ว่าเข้มงวดแล้วมันก็เป็นรูปแบบ มรรคหยาบๆ นะ แล้วมรรคละเอียดคือมรรคญาณในหัวใจ พฤติกรรม การกระทำดีทำชั่ว พฤติกรรมมันแสดงออกถึงจริตนิสัย พฤติกรรมที่แสดงออกอันนั้นแหละ นั่นพฤติกรรมนะ แล้วถ้าจิตมันเคลื่อนไหวนะ จิตมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ถ้าปัญญามันก้าวเดินนะ มรรคญาณมันเกิดมันซาบซึ้งมาก แล้วปัญญาอย่างนี้ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น แล้วพูดไม่ได้หรอก
ไอ้ความว่างชนความว่าง บ้าบอคอแตกมันไม่มีหรอก มันไม่ใช่เป็นมรรคหรอก มรรคไม่เป็นอย่างนี้ ถ้ามรรคเป็นอย่างนี้ทุกคนก็ทำได้ ทุกคนก็ทำได้ ถ้ามรรคญาณมันมีจริงนะมันเป็นความจริง ถ้าความจริงอันนั้นนะ ถ้าความจริงอันนั้นมันเป็นความจริง พฤติกรรมมันจะเปลี่ยนแปลงไปหมด พฤติกรรมมันจะเปลี่ยนแปลง หมายความว่ามันจะดำรงชีวิตเพื่อเข้าไปสู่มรรคญาณอันนี้ เป็นแบบอย่างแบบหลวงปู่มั่นท่านทำไง เพราะหลวงปู่มั่นท่านรู้ท่านเห็นของท่าน ท่านถึงพยายามทรงชีวิตของท่านเพื่อให้คนเอาแบบเอาอย่างจะเข้าไปสู่มรรคญาณอันนี้ เพื่อชำระกิเลสอันนี้ เพื่อประโยชน์อันนี้ไง
นี่ตัวอย่าง แบบอย่างของครูบาอาจารย์ของเรานะ นี้พูดถึงว่าธุดงควัตร บารมีของคนๆ หนึ่งสร้างสมขึ้นมาเป็นองค์กรนะ ในเมื่อธุดงค์เป็นเรื่องส่วนตน ใครทำ นิสัยใจคอ หรือการกระทำ พฤติกรรมของใครของเขา แต่หลวงปู่มั่นท่านทำจนคนเชื่อแล้วคนเดินตามรอยของท่านจนเป็นองค์กรขึ้นมา มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ถ้าใครคิดนะ แต่ถ้าใครไม่คิดมันก็เรื่องชีวิตชีวิตหนึ่ง ชีวิตของท่านก็ล่วงไปแล้ว แล้วท่านก็ทิ้งมรดกตกทอดไว้ แล้วเราจะได้หรือไม่ได้ เอวัง